ที่ดินของวัดผู้ใดจะเข้าไปยึดถือหรือโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของตนเองไม่ได้
ศาลฎีกาของไทยมีคำพิพากษาว่า “ที่ธรณีสงฆ์” ไม่สามารถถูกยึด ครอบครอง โอนกรรมสิทธิ์ หรือถูกใช้ประโยชน์โดยบุคคลหรือหน่วยงานของรัฐได้ เว้นแต่จะมีอำนาจตามกฎหมายอย่างชัดเจน โดยหลักการนี้อ้างอิงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกครองคณะสงฆ์และการครอบครองที่ดิน
ประเด็นสำคัญ:
ที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของวัด (โจทก์)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าครอบครองหรือโอนที่ดินของวัดให้แก่บุคคลอื่น
จำเลยซึ่งได้รับที่ดินจากกระทรวงเกษตรฯ จึงไม่ได้รับกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 จะสันนิษฐานว่าผู้ครอบครองที่ดินเป็นเจ้าของ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ถูกหักล้างด้วยหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์
ดังนั้น การจดทะเบียนรวมแปลงและแบ่งแยกที่ดินที่เกี่ยวข้องกับที่ธรณีสงฆ์จึงเป็นโมฆะ แต่เฉพาะในส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินของวัดเท่านั้น
ส่วนที่ดินที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทยังคงมีผลตามเดิม
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
กฎหมายการปกครองคณะสงฆ์: ร.ศ. 121 (มาตรา 7), พ.ศ. 2484 (มาตรา 41), พ.ศ. 2505 (มาตรา 34)
ข้อสรุป:
ที่ธรณีสงฆ์ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างชัดเจน ไม่สามารถมีบุคคลหรือหน่วยงานใดอ้างสิทธิ์หรือนำไปใช้ประโยชน์โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมายได้ และการจดทะเบียนหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นโมฆะ